Wednesday 9 March 2016

ผลของการทำงานกับ หัวหน้าแย่ๆ ก่อแนวโน้มเป็นโรคสูง



วันนี้เปิดเจอเฟสบุ๊คแชร์มาด้วยภาพนี้...อ่านแล้วก็ อืม..เออ จริงๆนะ มันเป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันเราเอง... ทำให้หวนคิดไปทีละข้อ ว่ามันใช่จริงหรือเปล่า มันเป็นจริงได้ยังไง ภาพประสบการณ์ก็ผ่านเข้ามาลอยเข้ามาประกอบความเห็นด้วยกับภาพ

เลยคิดว่า เอากรณีที่เคยเห็นมาเล่าต่อขยายความจากแต่ละข้อ เป็นกรณีศึกษา เล่าสู่กันฟังดีกว่า เรื่องในแบบทั้ง 4 ข้อ ที่ อจ. ประคัภป์ ท่านเอามาแชร์คงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆคนหรอก หรือคนที่ยังทำงานไม่นาน ไม่ได้ย้ายองค์กรบ้าง คุ้นชินกับการอยู่กับเจ้านายดีๆ ไม่มีกรรมได้เจอเจ้านายหลากหลาย ...อาจยังมองไม่เห็นภาพ เห็นกรณี ดิฉันมีกรรมได้เจอเจ้านายดีๆ ท่านก็มีอันเป็นไปต้องย้ายประเทศ ต้องย้ายเมือง ที่เราไปเจอแล้วดีแต่ไม่ดูแลก็ต้องมีอันต้องล่ำลา ก่อนเราจะเละเป็นโจ๊ก ไม่เหลือชีวิตไว้ให้ตัวเอง หรือ ญาติพี่น้องพ่อแม่ ... แบบนี้ก็มีค่ะ ตย. ในแต่ละข้อ จะมีสัก 1 ต่อองค์กรก็พอสู้ไหวนะ แต่ถ้า 1 ที่ได้เจอครบทั้ง 4  นี่ก็ย้ายเหอะค่ะ อย่าทนเลย ก่อกรรมต่อตนเองและผู้อื่นชัดๆ

 ผลของการทำงานกับหัวหน้าแย่ๆ คือ

1. มีแนวโน้มเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นเป็น 2 เท่า

ข้อนี้เห็นด้วยมากๆ และอยากเตือนมนุษย์งานให้ใส่ใจตนเอง เรื่องว่าคนเป็นโรคแล้วผลงานแย่ลงนั้น บางครั้งก็ชัดเจน แต่บางครั้งก็ไม่ชัดเขน ลักษณะคนที่กระทบจิตใจโดนกดดัน จนถึงขั้นป่วยนี่ มันก็มาจากความเครียด ทำงานทุ่มเทจนเลือดหนืดก็มี  มันมีหลายแบบค่ะ แบบที่รู้ตัว กับแบบที่ป่วยแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวก็ดีไป แต่แบบไม่รู้ตัว ล้มฟุบไปต่อหน้าต่อตากองงานเลยนี่สิ ...

ตย. ที่ 1 เคยเจอพี่ผู้ชายคนหนึ่งเรามาทำงานโปรเจ็คด้วยกัน ที่รู้ๆคือ แกจะหน้าแดงๆ และซีดง่าย เวลาหัวหน้าด่าแก แกจะมีท่าทีตกใจ และหงอ คือ ครับๆๆๆ อ่อๆๆๆ แล้วก็มาเครียดกับลูกน้องแต่ด้วยความที่แกอาจเป็นคนที่เติบโตมาแบบผู้ตามในครอบครัว แกดูไม่ดุ มีขึ้นเสียงแกก็หน้าแดงเอง เวลาโดนตำหนิอะไรมาแกก็มาบอก ชี้โบ้ยบ้าย ดิฉันสังเกตุแกเล่าไป มือแกก็สั่นหงึกๆๆ เวลาเล่าไป พร้อมหน้าแดง หน้าซีด สลับกันไป แกจะดีกับดิฉันมาก เพราะดิฉันมักปลอบใจแก และจะให้ความเย็นใจด้วยการปลอบใจ บอกว่าไม่เป็นไรพี่ ใจเย็นๆนะ ค่อยๆแก้กันไป หนูช่วยพี่เอง... แกก็จะใจเย็นลงแล้วมาบ่นพึมๆ พำๆ เป็นอยู่อย่างนี้ แต่ในยามไม่กดดันอะไร แกยิ้มแย้มแจ่มใส จนวันหนึ่งแกมาบอกว่า แกเจ็บหัวใจ เราก็บอกให้แกไปหาหมอ ... (แต่แกไปหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ หรือไปแล้วตรวจลึกซึ้งขนาดไหน ก็ไม่ทราบ) ต่อมาไม่นาน เรามีเหตุต้องจากกันไม่ได้ทำงานร่วมกัน ก็มาทราบว่าแกเสียชีวิต หัวใจวายด้วยวัย 54 ปี เท่านั้น ... แกเล่าว่า ที่ผ่านมาแกทำงานตั้งแต่เป็นเด็กๆ แกจะโดนหัวหน้าด่า โขกสับ มาตลอดจนแกเติบโต ไปทำงานแบงก์ แกก็ยังมีบุคลิกแบบนี้ จนมาถึงมาทำงานโปรเจ็ค แกไม่ชอบเลย เพราะว่าแกเก่งที่จะทำงานแบบถูกสั่ง ...แกเครียดมาก แต่แกต้องออกจากแบงก์มาแล้ว มาทำงานที่โครงการนี้ หลังจากนั้นแกก็ลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ได้แค่ 1 ปี แต่แกได้เกิดสะสมโรคไว้ในกายแกแล้ว เริ่มเมื่อไร นานแค่ไหนไม่ทราบ แกจึงเสี่ยง เมื่อไปเจองานหนักในวันที่สายไปแล้ว แกจึงไปต่อไม่ไหว ... ปัจจุบันนี้ยังมีคนอีกหลายๆคนที่มุ่งเน้นทำงานมาก จนลืมพักผ่อน ไปทำงานก็เครียดจากการกดดันจากหัวหน้างาน หัวหน้างานก็มีความจำเป็นต้องทำงาน แต่จะมีหัวหน้างานกี่คนที่ฉลาดพอจะมองเห็นและเข้าใจว่า ลูกน้องมีปัญญา ตนต้องหากลไกการทำงานที่ได้ผลงาน และคนมีความสุข ไม่ใช่ลนลาน ...

ตย. ที่ 2 . ที่ รง. แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเลย ดิฉันได้เจอพนักงานที่อายุงานไม่มากนัก แต่ก็เคยทำงานมาสักระยะนึง มีวิชาชีพเป็น จป. เขาเรียนสายวิทยาศาสตร์มา ดังนั้นเวลาคิดหรือพฤติกรรมการทำงาน นิสัยมาจากการเลี้ยงดู เขาจะเป็นคนคิดเยอะค่ะ ในการทำงานเขาจะ ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เองด้วย ในขณะเดียวกันก็ต้องทำตามกฏระเบียบ เจ้านาย มี 2 ระดับ คือ ผจก.เขาเอง ส่วนอีกระดับคือ MD มาคุมฝ่ายอีกที เจ้านายที่ต้องรายงานก็ทั้งสองคนนี่แหละ คนที่ 1 พอเห็นใจเข้าใจ แต่คนที่ 2 นี่จะคอยทับถม เอาไปพูดว่าตำหนิลับหลัง เช่น ไอ้คนนี้อย่าไปวางใจมันมาก พูดจาไม่รู้เรื่อง ในขณะที่ เนื้องานคนนี้ก็ล้นมือ วิ่งทำไปทั่่ว ใครหกล้มก็เขา ส้วมแตก ส้วมตัน หลังคารั่วก็เขา ไฟดับไฟขาดก็เขา รายงานต่างๆ ก็เขา จนเขาหน้าเศร้าลงทุกวันๆ เพราะเมื่อเจ้านายตัวดีไปคอยแทงข้างหลัง จนเพื่อนๆเอาใจเจ้านายก็มาว่าเขามองเขาไปแบบนั้นด้วย แต่เจ้านายก็ยังใช้งาน เรียกรายงานและลับหลังก็คะนองปากคือนิสัยต้องได้ลับหลังไปทั่วเลย เด็กเล่าว่า เขาหูเบา เอ๊ะยังไง ??

เขาก็มาหารือปรึกษา เราก็แนะนำตามตำราว่า ยกตัวอย่างว่า หน. ทีดีมันต้องแบบนี้ แต่ในชีวิตจริงนั้น คนที่กระทำเรื่องขัดต่อตำรา ที่ว่า ไม่่ดี ไม่ควรทำ เป็นกิริยาแย่ เป็นความ ไม่บังควรทั้งหลาย จิตวิทยาองค์กรแย่ๆ ก็ตัวหัวหน้าและเจ้าของนี่แหละทำเอง ... ดังนั้น หัวหน้า 1 ก็ไม่รู้จะทำอยางไร นอกจากให้กำลังใจและคอยดูแลให้งานราบรื่นโดยไม่ ชอกช้ำหัวใจมากนักและทำงานได้..ดีบ้างไม่ดีบ้างไปเรื่อยๆ จนหัวหน้าที่ 1 ไปจากองค์กร หัวหน้า 2 เป็นคนแบบไหนก็คือแบบนั้น แย่อย่างไร ก็แย่อย่างนั้น ทุกอย่างไม่ว่าจะความขัดแย้ง การยุแหย่ การตลบตะแลงจนเด็กเครียดก็มาจากคนนี้  ปกติพนักงานคนนี้ ร่าเริง มีมุขตลกน่ารัก หายไปหมดจากบุคลิก มีแต่ความเครียดโผล่ออกมาให้เห็นตลอดเวลา

ในที่สุด เด็กเครียดจนเหม่อ ขับรถไปประสบอุบัติเหตุ เขามาปรึกษาเราเลยต้องแนะนำให้คิดถึงพ่อแม่ ก่อนคิดว่าจะทน ให้ลองดูว่ามีเหตุการณ์ให้ที่เกิดขึ้นรายวัน ผิดไม่ผิด ควรเกิดไม่เกิด เกิดเพราะใคร ... เขาตอบว่า เพราะหัวหน้าเขา เขาทำอะไรก็ไม่ดี เขาทำดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้แล้ว งั้นพิจารณาที่ตัวเองหากเราเปลี่ยนสถานการณ์ในองค์กรไม่ได้ และเราต้องทนให้ได้ ...ทนไม่ได้ทำอย่างไรดี ป่วยตาย ดีมั้ย ??? แล้วเขาก็บ่นๆว่า เขาไม่อยากทำอะไรในที่ทำงานเลย ตอนนี้ไม่อยากหยิบจับอะไร นี่ไง ประสิทธิภาพของงานลดลงแล้ว... กว่าเจ้านายจะรู้ตัว ประสิทธิภาพการทำงานต้องลดลงน่าจะอาการหนักเข้าไปใหญ่...

จู่ๆ วันหนึ่งเขาโทรมาเล่าว่า เขาเดินออกมาจาก รง. เวลาบาย 3 โมงและไม่กลับไปอีกเลย ... ดิฉันก็นึกเห็นใจและสงสารเด็กที่ต้องไปทนทุกข์ 2 ปี เสียดายจิตดีๆ ของเขาไปโดนบ่มเพาะด้วยบรรยากาศไม่ดี มีดราม่าองค์กรมากมาย ต่อไปกลัวเขาจะร้ายขึ้น จึงแนะนำให้เขาลืมเสีย อย่าไปคิดอะไรมาก และมีแต่ที่นี่ที่เป็นแบบนี้ ให้ไปทบทวนดีๆ ว่ามาจากใครเป็นสาเหตุ ทุกคนมาเหมือนเรา เขาไม่เหมือนเอาอะไรมาเป็นบรรทัดนอกจากผลงาน ถ้าไม่ไช่ที่ผลงาน ต้องเป็นที่ "คน" แล้วคนอิทธิพลคนนั้นคือ ใคร ??

ที่อื่นๆ มีคนดีๆ รอบกายเลย ให้เราจดจำว่าลักษณะการทำงานกับเจ้านายไม่ดีไว้ มันเป็นอย่างไร หากเมื่อไรจับสัญญานได้อีก ถ้าเราพยายามปรับปรุงแล้วเขาไม่ปรับปรุง ก็ให้จบๆ กันไป เพื่อสุขภาพจิต และกาย ของเราจะได้รับผลกระทบต่อไปในอนาคต ...

เดี๋ยวมาต่อ...ข้ออื่นๆค่ะ แต่สำหรับข้อนี้ ถ้าจะนำคำสอนของพระอาจารย์ต่างๆ มาเปรียบเทียบก็ได้ดังคำสอนของ ครูบาชัยะวงศาพัฒนา วัดลี้ จว. ลำพูนเลยค่ะ ...

No comments:

Post a Comment